เรื่องที่จะนำมาเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องเล่าขานกันมานานในเมืองจีน โดยแฝงไปด้วยคำสอนให้คนรู้จักทำดีด้วยใจสัตย์ซื่อ ย่อมได้สิ่งตอบแทนที่ดี ซึ่งที่นำมาบอกเล่านี้ เกี่ยวกับร้านยา จ้าวกุ้ยถัง หรือร้านยาถงเหยินถัง เป็นร้านยาจีนที่มีชื่อเสียงและโด่งดังทั่วโลก อีกทั้งยังมีสาขาที่เยาวราชในบ้านเราด้วยเช่นกัน นิทานว่าอย่างไร ไปอ่านกันเลยค่ะ
เมื่อนานมาแล้ว พระเจ้าจักรพรรดิคังซีเกิดป่วยด้วยโรคประหลาด แม้ว่าจะใช้ยาชั้นดี และรักษาโดยแพทย์หลวงในวังเท่าไร ก็ไม่สามารถทำการรักษาให้หายได้ ทำให้พระองค์ทรงกริ้วและยุติการรักษาจากแพทย์หลวง และในคืนหนึ่ง จักรพรรดิคังซีได้ควบม้าออกท่องราตรีเพียงลำพัง จนผ่านไปเจอตรอกซอยเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีร้านขายยาเล็ก ๆ ที่ยังคงเปิดให้บริการแม้ว่าจะเข้าสู่ยามวิกาลแล้วก็ตาม จักรพรรดิทรงสนพระทัยจึงลองเดินเข้าไปในร้านขายยา เนื่องจากยังคงมีแสงไฟสว่างไสว และได้ยินเสียงอ่านหนังสือจากภายในร้านออกมา
จักรพรรดิทรงคิดว่าไหน ๆ รักษาจากแพทย์วังหลวงมานักต่อนักก็ไม่หาย หากจะลองรักษากับร้านยาเล็ก ๆ นอกเมืองเช่นนี้ คงไม่เสียหายนัก คิดได้ดังนั้น พระองค์จึงตรงเข้าไปในร้านขายยา และได้พบกับชายหนุ่มที่อายุไม่น่าถึง 40 ปี กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ และเมื่อชายคนนั้นเห็นแขกผู้มาเยือนในยามวิกาล จึงกุลีกุจอถามว่าต้องการให้ตนรับใช้ในเรื่องใดบ้าง
จักรพรรดิคังซีทรงตอบว่า พระองค์ป่วยด้วยโรคประหลาด มีผื่นแดง ๆ ขึ้นตามตัว และมีอาการคันไปทั่ว รักษาเท่าไรก็ไม่หายเสียที จึงขอรบกวนให้หมอยาช่วยทำการรักษาให้ด้วย เมื่อชายในร้านขายยาได้ยินดังนั้น จึงให้พระองค์ทรงถอดเสื้อออก เพื่อตรวจดูอาการ และเมื่อเขาเพียงแค่ใช้สายตาสอดส่องไปเพียงไม่กี่วินาที ก็แจ้งจักรพรรดิว่าไม่ต้องกังวล ท่านไม่ได้ป่วยร้ายแรงอะไร เพียงแต่อาการที่เป็นอยู่นั้น เกิดจากการได้ทานอาหารดี ๆ มากเกินไป จนเกินความจำเป็นของร่างกาย อีกทั้งการทานโสมเป็นประจำ จะส่งผลให้เกิดอาการร้อนในสะสมรุนแรง ทำให้เกิดผื่นแดงขึ้นเต็มตัว และมีอาการคันนั่นเอง จากนั้น ชายคนดังกล่าวก็ได้เอื้อมมือไปหยิบกล่องยาบนหิ้งลงมา และปูผ้าบนโต๊ะ ก่อนจะทำการเทยาท้ังหมดลงบนผ้า และมันมีจำนวนมากจนอาจมีน้ำหนักถึง 4 – 5 กิโลกรัม
เมื่อจักรพรรดิเห็นดังนั้นก็ทรงตกใจและแสดงความหวาดหวั่น ก่อนจะพูดว่า หมอ ทำไมยาเยอะขนาดนี้ แล้วจะทานหมดได้อย่างไร หมอหนุ่มก็ได้ปลอบประโลมพระองค์ว่าไม่ต้องตกใจ เพราะนี่ไม่ใช่ยาสำหรับกิน แต่คือสมุนไพรโกฐน้ำเต้า ให้นำกลับไปบ้าน จากนั้นนำสมุนไพรเหล่านี้ต้มกับน้ำจนเดือด แล้วจึงเทใส่อ่างน้ำผสมกับน้ำธรรมดา โดยให้มีอุณหภูมิที่เหมาะสม และลงไปแช่ในน้ำวันละครั้ง หลังจากที่แช่ได้ประมาณ 4 – 5 ครั้ง อาการของโรคที่เป็นอยู่ก็จะหายเอง
จักรพรรดิไม่แน่ใจว่าวิธีของหมอหนุ่มคนดีจะได้ผล แต่ในเมื่อรักษากับแพทย์วังหลวงมาหลายวิธีแล้ว แต่ก็ยังไม่ทีท่าว่าจะหาย การใช้สมุนไพรนี้อาจได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ได้ และระหว่างที่พระองค์กำลังครุ่นคิด โดยหมอหนุ่มนั้นสามารถเข้าใจได้ทันที จึงเอ่ยให้จักรพรรดิอย่าได้ลังเล และเขาจะไม่คิดเงินแม้แต่เดียว โดยให้พระองค์ลองนำไปต้มและรักษาดูก่อน จักรพรรดิคังซีจึงตอบตกลงและกล่าวว่า หากรักษาให้หายได้จริง จะมีของสมนาคุณอย่างงาม
หลังจากที่จักพรรดิเสด็จกลับวัง ก็ได้ทำตามที่หมอหนุ่มแนะนำทุกขั้นตอน และเมื่อพระองค์ได้ก้าวเท้าลงไปแช่น้ำ ก็รู้สึกถึงความสบายตัวทันที และหลังจากได้ทำการแช่น้ำสมุนไพรดังกล่าวประมาณ 3 ครั้ง ผื่นแดงก็ค่อย ๆ หายจางไป รวมถึงอาการคันตามตัวก็หายไปด้วยเช่นกัน จนเข้าวันที่ 4 พระองค์ได้เสด็จกลับไปยังร้านขายยาเล็ก ๆ นั้นอีกครั้ง
เมื่อหมอหนุ่มเห็นอาการและสีหน้ายิ้มผ่องใส ก็รู้ทันทีว่าอาการป่วยได้หายแล้วแน่นอน จึงแกล้งถามว่า “ท่านมาชำระค่ายาใช่หรือไม่” พระองค์ก็ได้ทรงตรัสตอบกลับไปว่า แน่นอน ข้ามาชำระค่ารักษา ไม่ทราบว่าท่านหมอคิดเท่าไร เมื่อได้ยินดังนั้น หมอหนุ่มหัวเราะชอบใจ ข้าไม่คิดเงินหรอก เพียงแค่หยอกไปว่าหากไม่หายไม่ต้องจ่ายค่ารักษา เพราะเห็นท่านกำลังลังเลอยู่ ข้าเพียงแค่ต้องการเป็นเพื่อนกับท่านเท่านั้น จักรพรรด์จึงได้บอกนามของพระองค์ไป “ข้าแซ่หวง ชื่อ เทียนซิง เป็นนักศึกษา” หมอหนุ่มได้ยินก็รีบตอบอย่างดีใจ “ข้าแซ่จ้าว นาม กุ้ยถัง เป็นนักศึกษาจน ๆ คนหนึ่ง พยายามสอบจอหงวนหลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จสักที จึงได้มาเปิดร้านขายยาเล็ก ๆ แห่งนี้ เพื่อบริการชาวบ้านที่เจ็บป่วย และได้ทบทวน อ่านตำราเพื่อเตรียมสอบจอหงวนในครั้งต่อไป
จักรพรรดิได้ตรัสว่า ข้าสามารถแนะนำให้พี่จ้าวเข้าไปเป็นแพทย์หลวงในหวังได้ แต่หมอจ้าวได้ปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่า การเป็นหมอหลวงไม่ใช่ความหวังของเขา เพราะไม่สามารถรักษาให้กับชาวบ้านทั่วไปได้ มันผิดวัตถุประสงค์ในวิชาความรู้ของเขา ที่ควรมีเพื่อคอยบรรเทาความทุกข์ยากของประชนชนที่เดือดร้อนจากความเจ็บป่วย แต่ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาและยาได้ในราคาแพง ๆ ข้ามีความประสงค์เพียงแค่เปิดร้านขายยาที่ใหญ่โตกว่านี้ และสามารถบริการผู้คนได้มากกว่านี้ เพราะที่ตั้งของร้านค้าตอนนี้ แทบไม่เป็นที่รู้จักของใคร ๆ แต่มันต้องใช้เงินจำนวนมาก ข้าจึงมุ่งหวังสอบจอหงวนเพื่อให้มีทุนในการเปิดร้านเท่านั้น เมื่อพระองค์ได้ยินหมอหนุ่มตอบเช่นนั้น จึงได้กล่าวต่อว่า “พี่จ้าวช่างมีจริยธรรมสูงส่งนัก ข้านักถืออย่างยิ่ง” แล้วพระจักรพรรดิได้หยิบพู่กันที่วางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นเขียนข้อความลงบนกระดาษ ประทับตราประจำตัว และยื่นให้กับหมอจ้าว
“พรุ่งนี้พี่จ้าวไปติดต่อฝ่ายบริหารจัดการของหวังหลวง ข้ามีเพื่อนอยู่ที่นั่น ยื่นจดหมายฉบับนี้ให้เขา เขาจักช่วยเหลือเจ้าได้” แล้วจักรพรรดิคังซีก็ลากลับทันที โดยทิ้งให้หมอจ้าวยืนงงกับคำของพระองค์ แต่เมื่อวันถัดมา หมอจ้าวต้องการทดสอบว่าเป็นเรื่องจริงหรือเพียงแค่การหยอกขำขัน จึงได้นำกระดาษที่ได้จากจักรพรรดิไปยังฝ่ายบริหารภายในของวังหลวง และยื่นจดหมายฉบับนั้นให้กับเจ้าหน้าที่ ก่อนที่จะมีขันทีออกมาต้อนรับและพาหมอจ้าวไปยังอีกตึกหลังหนึ่ง และเมื่อเปิดประตูออก หมอจ้าวต้องตกตะลึง เพราะมีเงินจำนวนมาก กองทับถมกันอยู่เต็มห้อง และขันที่ได้ขัดอาการตะลึงของหมอจ้าวด้วยการสอบถามว่า “เงินจำนวนนี้เพียงพอที่จะชำระค่ารักษาโรคให้ฝ่าพระบาทหรือไม่ และพระองค์ทรงตั้งพระทัยมอบร้าน จ้าวกุ้ยถัง ให้ท่านได้เปิดร้านขายยาสมความตั้งใจ”
หมอจ้าวรู้สึกงุนงงและรู้สึกอายที่ตนไม่ตาแต่ไม่มีแววไม่ ไม่รู้ว่าคนที่ตนต้องการเพียงแค่สานสัมพันธ์เป็นเพื่อนเท่านั้นคือจักรพรรดิ และหมอจ้าวก็ได้เปิดร้านขายยาสมความตั้งใจ โดยวันเปิดร้านในวันแรก พระจักรพรรดิคังซีทรงเสด็จมาร่วมพิธียินดีด้วยพระองค์เอง และได้กล่าวทิ้งท้ายติดตลกว่า “อย่าได้ตกใจ ข้าได้ชำระค่ารักษาที่ติดค้างท่านไว้จนหมดสิ้นแล้ว ถ้าข้ามาหาหมออีกเมื่อไร อย่าได้คิดค่ารักษาข้าอีกนะ”
ตั้งแต่นั้นมา ในกรุงปักกิ่งจึงมีร้านขายยาที่โด่งดัง ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก ร้านขายยา “จ้าวกุ้ยถัง” ซึ่งตั้งเด่นสง่ากลางเมืองหลวง ซึ่งเรื่องนี้เป็นนิทานที่เล่าสู่กันมานับหลายปีของคนจีน เพื่อแฝงคติธรรมให้กับคนจีนได้มีความซื่อสัตย์ ยึดถือหลักคุณธรรม การทำดีด้วยใจบริสุทธิ์ ย่อมได้รับสิ่งตอบแทนที่ดีและคุ้มค่าเสมอ