เมื่อถึงเทศกาลฮาโลวีน เราก็มักจะเห็นมีการนำ ฟักทอง มาฉลุลวดลายให้เป็นรูปหน้าผี แล้วใช้ประดับสถานที่ต่าง ๆ แต่รู้อยากรู้ไหมว่ากิน ฟักทอง ดีไหม ห้ามกินฟักทองบ่อย ๆ เพราะจะทำให้ตัวเหลือง สิ่งเหล่านี้ที่มักได้ยินกันมาจะจริงหรือเปล่าน้าาา ไหน ๆ ก็เข้าช่วงเทศกาลพอดี เรามาหาคำตอบกันดีกว่าค่ะ
ประโยชน์ของฟักทอง
ฟักทอง เป็นพืชตระกูลมะระ ซึ่งเป็นไม้เถาขนาดใหญ่ ลักษณะผิวขรุขระ เปลือกแข็ง เนื้อสีเหลืองสด สามารถรับประทานได้แทบทุกส่วน ตั้งแต่เปลือก เนื้อ เมล็ด ใบ ไปจนถึงรากฟักทอง
- เปลือกฟักทอง มีฤทธิ์ทางยามากมาย หากทานฟักทองทั้งเปลือก จะช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลินใน่ร่างกาย ควบคุมน้ำตาลในเลือด บำรุงดวงตา บำรุงตับ บำรุงไต ป้องกันโรคความดันโลหิต เบาหวาน และยังช่วยสร้างเซลล์ขึ้นมาทดแทนเซลล์ที่ตายแล้วอีกด้วย
- เนื้อฟักทอง มีเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม
- และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจ ป้องกันโรคผิวหนัง และต่อต้านความชรา บรรเทาอาการปวดเมื่อยข้อเข่าและบั้นเอวได้เป็นอย่างดี
- เมล็ดฟักทอง มีโปรตีน ฟอสฟอรัส วิตามิน แป้ง และ สารเคอร์บิติน (cucurbitine) ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิตัวตืดได้ อีกทั้งยังช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันการเกิดนิ่ว มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ น้ำมันในเมล็ดฟักทองมีกรดอะมิโนบางชนิดที่ช่วยบำรุงประสาท ช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายจากลูกอัณฑะให้เป็นปกติ ป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากขยายใหญ่ขึ้น
- ใบอ่อนฟักทอง มีวิตามินเอในปริมาณพอ ๆ กับเนื้อฟักทอง แต่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าเนื้อฟักทอง (นิยมใช้ลวกจิ้มน้ำพริก หรือเป็นผักเคียง)
- ดอกฟักทอง มีวิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม และ ฟอสฟอรัส (สามารถกินเป็นผักลวกจิ้ม หรือตกแต่งอาหารได้)
- เยื่อกลางผล ใช้พอกแผล บรรเทาอาการปวด แก้อาการอักเสบ ฟกช้ำได้
- รากฟักทอง นำไปต้มใช้ดื่มแก้อาการไอ ช่วยบำรุงร่างกาย และถอนพิษฝิ่นได้
ฟักทองกับเพศหญิง
ฟักทองมีใยอาหารหรือไฟเบอร์สูง แต่มีแคลอรี่และให้พลังงานต่ำ ไขมันน้อย จึงเหมาะที่จะเป็นอาหารของผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก หรือต้องควบคุมน้ำหนักตัว วิตามินหลายชนิดในฟักทองช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง และสำหรับสตรีหลังคลอดบุตร ฟักทองจะช่วยบำรุงกำลัง ลดอาการปวดและการอักเสบหลังคลอดได้ดี
ฟักทองช่วยลดอาการไอ ขับเสมหะ บรรเทาอาการหอบหืดที่เกิดจากหลอดลมอักเสบเรื้อรังในผู้สูงอายุ ช่วยบำรุงกำลังได้เป็นอย่างดีในผู้ที่มีม้ามและปอดอ่อนแอ อีกทั้งคาร์โบไฮเดรตในฟักทองช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ส่วนบนได้ ฤทธิ์อุ่นของฟักทองจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้มีประสิทธิภาพดี แก้ปวดได้อีกด้วย
การทานฟักทอง ข้อควรระวังมีอะไรบ้าง?
คนที่กระเพาะร้อน คือ มักจะมีอาการกระหายน้ำ หิวบ่อย ปากมีกลิ่นเหม็น มีแผลในช่องปาก เหงือกบวม ท้องผูก ปัสสาวะเหลือง ควรระมัดระวังในการทานฟักทอง หรือแม้แต่ผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงปกติ ก็ไม่ควรทานฟักทองมากเกินไปเช่นกัน เพราะฟักทองมีฤทธิ์อุ่น อาจกระตุ้นให้ร่างกายร้อนขึ้น หรือเกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ รู้สึกไม่สบายท้องได้
ทานฟักทองแล้วตัวเหลืองจริงหรือ?
ฟักทองอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย และเมื่อเบต้าแคโรทีนเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะถูกเปลี่ยนให้เป็นวิตามินเอ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในร่างกาย
แต่ไม่เพียงแค่ฟักทองเท่านั้นที่มีเบต้าแคโรทีน แต่ยังมีพืชผักอื่น ๆ ที่มีสารชนิดนี้ เช่น แครอท ส้ม มะละกอ ลูกพืช และผักผลไม้ที่มีสีเหลือง สีส้ม ซึ่งมีสารเบต้าแคโรทีน และหากทานอาหารเหล่านี้เข้าไปจำนวนมากเกินไป สารสีส้มสีเหลืองในเบต้าแคโรทีนจะไปเกาะตามเม็ดสีผิว ส่งผลให้สีผิวของเรามีสีเหลืองมากขึ้น แต่จะไม่ทำให้ตาเหลือง และสามารถหายไปได้เองภายใน 2 – 3 สัปดาห์ เมื่อหยุดทาน และส่วนใหญ่จะพบได้ในเด็กเล็กมกากว่าวัยผู้ใหญ่
ร่างกายควรได้รับเบตาแคโรทีนในแต่ละวันเท่าไร?
ในแต่ละวันเราควรได้รับเบต้าแคโรทีน ประมาณ 6 – 8 มิลลิกรัม และ ไม่ควร 30 มิลลิกรัม / วัน ก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารเบตาแคโรทีนได้เพียงพอตามที่ร่างกายต้องการโดยไม่ทำให้ตัวเหลือง
รู้ประโยชน์ของฟักทองมีดีขนาดนี้แล้ว หลังจบเทศกาลฮาโลวีน ก็นำมาทำเมนูฟักทองอร่อย ๆ กินกันต่อได้เลย เรียกได้ว่า งานนี้เราสามารถใช้ประโยชน์ฟักทองได้อย่างคุ้มค่าเลยค่ะ