เสียไปเป็นแสน แขน (ขา) ไม่ได้จับ ทาสแมวคนไหนที่กำลังเป็นแบบนี้อยู่บ้างเอ่ย เปย์ให้น้องแมวไปตั้งเท่าไรก็ได้ แค่ขอให้แมวแสนรักได้สุขกาย สบายใจ แต่แค่จะขอกอด ขออุ้มให้ชื่นใจทีไร ไม่แจกยันต์ 5 แถว ก็ถีบหน้าด้วยก้อนกลมอุ้งเท้ามังคุดทุกที มันเศร้าเน้อ … วันนี้เราเลยมี 5 วิธีเอาชนะใจแมว เป็นเทคนิครู้ใจแมว หากทาสแมวทำความเข้าใจ และหมั่นซ้อมบ่อย ๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสที่น้องแมวจะเข้าหา และมาคลอเคลียให้ทาสใจละลายเลยล่ะ
1. ยิ้มแบบแมว ๆ
สิ่งแรกที่ทาสแมวต้องรู้ คือ วิธียิ้มแบบแมว ๆ เพื่อทำความผูกมิตร และสร้างสัมพันธไมตรี ให้น้องแมวเชื่อใจมากขึ้น ด้วยเทคนิคการยิ้มสไตล์แมว โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยพอร์ตสมิท ฯ ในสหราชอาณาจักร ได้ค้นพบว่า การส่งยิ้มแบบแมว ด้วยการ กะพริบตาช้า ๆ เป็นการสื่อสารที่แสดงออกถึงความเชื่อใจ ช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างแมวและเจ้าของให้แน่นแฟ้นมากขึ้น โดยการยิ้มแบบแมวนั้นทำได้โดย จ้องหน้าแมว แล้วค่อย ๆ ปิดตาลงสัก 2 – 3 วินาที แล้วลืมตาขึ้นช้า ๆ เหมือนการกระพริบตา ทำซ้ำหลาย ๆ รอบ และคอยเฝ้าสังเกตว่าน้องแมวยิ้มตอบให้บ้างไหม หากน้องแมว กะพริบตาช้า ๆ ให้กับเรา แสดงว่าน้องแมว ยิ้มตอบ เป็นสัญญาณที่ดีค่ะ
2. อย่าแหย่หนวดแมว
หลายคนชอบไปแหย่ ไปแกล้งน้องแมว โดยเฉพาะการดึงหนวดแมว เพราะหนวดของแมวมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากหนวดแมวเชื่อมต่อกบเส้นประสาทโดยตรง ช่วยให้ประสาทสัมผัสไว สามารถล่าเหยื่อได้แม่นยำแม้ในความมืด ส่วนปลายหนวดแมวยังมีอวัยวะรับความรู้สึกพิเศษ เพื่อใช้วัดระยะทางและกระแสอากาศ ช่วยคำนวณในการหาตำแหน่ง ทิศทาง และลักษณะของเหยื่อ อีกทั้งแมวยังใช้หนวดในการกะระยะ สำหรับในการลอดผ่าน การเข้าไปในสถานที่หรือวัสดุต่าง ๆ อีกด้วย ดังนั้น เส้นหนวดที่อยู่ใต้จมูกของน้องแมว ไม่ได้มีไว้ประดับเฉย ๆ แต่หนวดคือส่วนสำคัญในการดำรงชีวิตของแมว ดังนั้น อย่าไปแหย่หรือกระตุกหนวดแมวล่ะ ถึงไม่ใช่เสือ แต่ถ้าไม่อยากโดนแจกยันต์ 5 แถว ก็อย่าริลองดีนะคะ
3. ลูบให้ฟิน สยบเจ้าเหมียว
แมว เป็นสัตว์ที่ชอบให้ลูบหรือเกาเบา ๆ โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า และบริเวณรอบ ๆ ปาก ทาสคนไหนลูบได้ถูกใจเจ้านาย จะเห็นความฟินของแมวในอากัปกิริยาต่าง ๆ นอนแผ่ให้ลูบ หรือบรรเลงด้วยเสียงเพอร์ เนื่องจากการลูบไล้ จะช่วยผ่อนคลายความเครียดของแมวลง น้องแมวจะรู้สึกปลอดภัย เหมือนเวลาแม่แมวคอยเลียปลอบประโลมเมื่อยังเป็นลูกแมวน้อย นอกจากนี้ การลูบน้องแมว ยังช่วยลดความดันโลหิตให้กับแมวอีกด้วย หากลูบ ๆ น้องแมวแล้วเขาใช้แก้มหรือหนวดมาถูไถที่ตัวคุณ ยินดีด้วย คุณกำลังถูกน้องแมวจับจอง และกำลังแสดงความเป็นเจ้าของในตัวคุณค่ะ ประมาณ คนนี้ของฉัน ยังไงยังงั้นเลย แต่ อย่าเผลอไปเล่นหรือจับหางแมวเข้าล่ะ เพราะเป็นจุดที่น้องแมวไม่ชอบอย่างแรง ไม่ว่าจะลูบเล่นหรือจับเบา ๆ ก็เถอะ
4. เว้นระยะห่าง
รักมากแค่ไหน ก็ให้เวลาส่วนตัวกันบ้าง ควรเว้นระยะห่าง social distancing ให้น้องเขาหน่อย เพราะแมวเป็นสัตว์รักสันโดษ และต้องการอิสระมากกว่าน้องหมา ต่อให้เป็นแมวสายอ้อน แต่ก็ยังต้องการโลกส่วนตัว เวลา private อยู่ดี ในช่วงเวลาของแมวที่ตื่นอยู่ กว่า 30% หมดไปกับการเลียขน เพื่อทำความสะอาด และตกแต่งขนตัวเอง ส่วนอีกเกือบ 70% ที่เหลือ จะหมดไปกับการนอน ซึ่งหมายความว่า ใน 1 วันของแมวจะใช้เวลา 2 / 3 ไปกับการนอน ดังนั้น หากทาสคนไหนไปวอแวหรือกวนใจเขามากไป อาจทำให้น้องแมวหงุดหงิด พาลไม่อยากเข้าใกล้ได้ อยากให้แมวเข้าหา ต้องให้อิสระ เมื่อแมวรู้สึกสบายใจ ก็จะเป็นฝ่ายเข้ามาอ้อนเองค่ะ
5. ร้อง “เมี๊ยว” เมื่อไร ให้รีบมา
เสียงของแมวจะแตกต่างกันไปตามอารมณ์ รวมไปถึงการร้องส่งเสียงเพื่อที่จะสื่อสาร แต่คุณจะแปลกใจ หากรู้ว่า แมวสามารถส่งเสียงได้มากกว่า 100 แบบ ในขณะที่สุนัขสามารถส่งเสียงได้ไม่เกิน 20 แบบเท่านั้น แต่ถึงแม้ว่าน้องแมวจะส่งเสียงได้หลากหลาย แต่การส่งเสียง “เมี๊ยว” ของแมว จะทำเพื่อสื่อสารหรือต้องการอ้อนมนุษย์ ต่างจากเมื่อแมวจะสื่อสารกับแมวตัวอื่น พวกเขาจะสื่อสารด้วยภาษากาย การส่งเสียงคราง และการขู่ ดังนั้น หากได้ยินเจ้านายร้อง “เมี๊ยว” , “เหมียว” หรือ “เมี๊ยววววว” เมื่อไร ให้รีบขานรับ เข้าไปดูว่าเขาต้องการอะไร หรือรีบให้อาหารน้องแมวอย่างไว (การให้อาหารน้องแมวแต่ละช่วงวัย) แล้วคุณจะได้ใจน้องแมวค่ะ